วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

search engine ที่นิยมใช้

Search Engine คืออะไร

คำว่า Search Engine คือ เครื่องมือค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต บางคนก็แปลตรงๆ ตัวว่า เครื่องจักรค้นหา ก็ไม่ผิดล่ะครับ ไม่ว่าใครจะแปลว่าอะไร มันก็คือๆ กันนะครับ 

Search Engine ในโลกนี้มีเยอะมากๆ นะครับ แต่ถ้าถามเด็กสมัยนี้ คงรู้จักไม่กี่ตัว เช่น google , yahoo, msn เท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วมีอีกเยอะแยะละครับ เอาล่ะ เรามาดูอันดับกันดีกว่าว่า บรรดา Search Engine ในโลกนี้ คนนิยมใช้ตัวไหนบ้าง ในการค้นหาข้อมูล


ผลการสำรวจ 10 อันดับ Search Engine ทั่วโลก

1. Google 
2. Yahoo! 
3. MSN 
4. AOL 
5. My Way 
6. Ask Jeeves 
7. Netscape 
8. Dogpile.com 
9. iWon 
10. EarthLink 

ผลการจัดอันดับ และแนวโน้มในประเทศไทย

1. Google
2. Yahoo!
3. MSN
4. Siamguru
5. Sansarn
6. Altavista
7. Sanook

เทคนิค ceo ที่สำคัญ

SEO คืออะไร มีประโยชน์อะไรในการทำธุรกิจ
SEO เป็นศัพท์ที่ย่อมาจาก Search Engine Optimization
SEO เป็นกระบวนการที่พยายามเพิ่ม Traffic ที่มีคุณภาพ เข้าสู่เว็บไซต์ ของเรา

จาก Search Enigne ต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและค้นเจอเว็บ
ของเราเป็นอันดับแรก ๆ ของ Search Enigne นั้น ๆ

โดยปกติแล้ว เว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่ใน Search Engine ในลำดับแรกๆ
มักจะถูกคลิกบ่อยกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ด้านล่าง หรืออยู่หน้าถัดไป นั้นเองครับ

เป้าหมายการทำ SEO นั้นอยู่หลายที่ เช่น การค้นหารูป การค้นหาวีดีโอ
แต่ที่ใช้มากที่สุดคือ ค้นหาเว็บ การทำ SEO ให้ได้ผลจะต้องมีองค์ประกอบ
ที่เรียกว่า Keyword เป็น อาวุธในการทำ SEO

SEO มีประโยชน์กับธุรกิจของเราอย่างไร
ในการค้นหาข้อมูล ของผู้ที่เข้าใช้อินเตอร์เน็ต ส่วนมากก็จะใช้ Search Enigne
ในการค้นหาและ Search Enigne ที่ผู้คนจำนวนมากใช้กันตอนนี้ก็คือ
Google ครับ ลองจินตนาการดูนะครับ หากเว็บหรือบล็อกของเรา ติดอยู่ที่หน้า 1
อันดับ 1 ของ Google จะมีคนเข้ามาคลิกและเข้ามาสู่
เว็บหรือบล็อกของเรามากแค่ไหน

ดังนั้นเมื่อ เว็บของเราได้รับความน่าเชื่อถือจาก Search Enigne ของ Google
เว็บของเราก็จะขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกของการค้นหา หรืออาจจะขึ้น
มาอันดับหนึ่งในการค้นหาก็ได้ วิธีนี้จึงเป็นอีกวิธีที่เราสามารถทำการตลาด
ในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้อีกวิธีหนึ่งยังไงละครับ

วิธีการทั่วไปที่หลายคนใช้ในการทำ SEO เบื้องต้นครับ
1. เลือก Domain Name ที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์

2. การอัพเดทเนื้อหาที่สม่ำเสมอ การอัพเดทเว็บไซต์บ่อยๆ จะทำให้
Search Engine ได้รับข้อมูลใหม่ของเว็บไซต์เราบ่อยๆ เพราะ
Search Engine จะชอบเว็บไซต์ ที่มีการเพิ่มเนื้อหาสม่ำเสมอ

3. แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน
ย้ำนะครับว่าเนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกัน

4. อย่ามีแค่เนื้อหา เราสามารถอัพโหลดรูปภาพประกอบเนื้อหาเข้าไป
ด้วยจะดีมาก แถมเว็บไซต์ของคุณอาจจะมีโอกาสไปปรากฏ
ในผลลัพธ์การค้นหารูปภาพของ Search Engine อีกด้วย

5. การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าใช้ สะดวกสบายและสวยงาน

นี่เป็นวิธีการทั่วไปสำหรับการปรับแต่งเว็บไซต์หรือบล็อกของเรา
ให้เข้ากับ การทำ SEO แต่วิธีการมันยังไม่จบเท่านี้นะครับ แต่เอาไว้โอกาส
หน้าผมจะมาแบ่งปันข้อมูลดี ๆ ให้ได้อ่านกันอีกนะครับ
อย่าลืมติดตามกันนะครับ :)

สำหรับบทความนี้ ผมขอจบข้อมูลไว้ตรงนี้ก็แล้วกันครับ
หวังว่า ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในธุรกิจเครือข่าย MLM
ของทุก ๆ ท่านนะครับ

โปรโมทอย่างไร ใช้เครื่องมืออะไรบ้าง

ยกตัวอย่างเครื่องมือใน google Search Engine

Google Tools
1. Google Analytics
Google Analytics คือ ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา AdWords หรือโปรแกรมการโฆษณาอื่นๆ ด้วยข้อมูลนี้จะทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ได้ผล ข้อความโฆษณาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกจากเว็บไซต์เพราะเหตุใด
 
ความสามารถหลักของ Google Analytics แบ่งความสามารถตามจุดประสงค์การใช้งาน ได้แก่ สถิติเกี่ยวกับ Visitor รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ สถิติเกี่ยวกับ Traffic รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์ สถิติเกี่ยวกับ Content รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเข้าชมเนื้อหาภายในหน้าเว็บไซต์ และสถิติเกี่ยวกับ Goal วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานเข้าถึงเป้าหมายภายในเว็บไซต์ได้อย่างไร
 
เครื่องมือตัวนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ของคุณในทุกๆ วัน โดยจะวิเคราะห์ทั้ง Traffic ที่เกิดขึ้น คนที่เข้าเว็บไซต์มาจากไหน ประเทศอะไร และเข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ของคุณ โดยคุณสามารถ Monitor สถานการณ์ความเคลื่อนไหวภายในเว็บไซต์ของคุณได้ทั้งหมด
 
Google Analytics เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์ทิศทางการทำตลาดของคุณเองต่อไป ซึ่งจะทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่เป็นที่นิยม อะไรที่คุณควรจะขาย กลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสนใจของคุณเป็นใคร และถ้าจะขยายตลาดต่อไปนั้นควรจะไปทำตลาดในประเทศอะไรต่อไป โดยข้อมูลเหล่านี้ยังมีความจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงระดับการลงทุนเพื่อทำการโฆษณา รวมทั้งยังทำให้สามารถคิดอัตราการคืนทุนได้ง่ายขึ้น
 
2. Google Sitemaps
Google Sitemap หรือการทำแผนที่เว็บไซต์ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะทำให้คุณสามารถทำ SEO ได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังจะส่งผลดีกับเว็บไซต์ของคุณในระยะยาวอีกด้วย โดยเครื่องมือตัวนี้มีประโยชน์สำหรับเว็บมาสเตอร์หรือนักการตลาดที่ต้องการให้ข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบอย่างรวดเร็ว
 
Google Sitemap จะเป็นเหมือน ป้ายบอกทางให้กับ Googlebot เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลภายในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้นด้วยการไต่ไปตามโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของ Google เมื่อมีการ Search หาข้อมูลใน Search Engine จะทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์สามารถค้นพบได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Google Sitemap ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าเว็บไซต์ของเรามี Sites หรือ Webpages หน้าไหนที่ไม่ทำงานด้วย
 
วิธีการสร้าง Google Sitemap
เข้าไปที่ http://www.xml-sitemaps.com/  จากนั้น ใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการสร้าง Google Sitemap ลงใน Starting URL เสร็จแล้วคลิก Start ระบบจะทำการสร้าง Sitemap ให้ จากนั้นจะปรากฏคำว่า Generated sitemap is ready ให้ไปคลิกที่ Download Un-compressed XML.sitemap และเซฟไว้ในไฟล์ที่ชื่อ sitemap.xml  แล้วนำ File ที่ชื่อ sitemap.xml ไป Upload ขึ้นเว็บไซต์ของตัวเอง โดยให้อยู่ในระดับเท่ากับ index.html เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/sitemap.xml/
ไปที่ http://www.google.com/webmaster/tools/   ใส่ URL ของเว็บไซต์ จากนั้นคลิกที่ เพิ่มไซต์ 
จะพบ Google my Site ให้คลิกที่ เพิ่ม ที่ช่องของ sitemap  เพื่อเพิ่ม Sitemap 
เลือก Add general web sitemap และกำหนดชื่อ My sitemap URL ตามตัวอย่างของ Google เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/sitemap.xml เสร็จแล้วคลิก Add web sitemap ระบบจะขึ้น Pending รอการยืนยันเว็บไซต์ในขั้นตอนต่อไป
ทำการ ยืนยันเว็บไซต์ โดยคลิกที่ ยืนยัน ที่ช่องของ ยืนยันแล้วหรือยัง
เลือกยืนยันแบบ อัพโหลดไฟล์ HTML
จากนั้นระบบจะสร้างชื่อไฟล์ HTML ให้  จากนั้นให้เราสร้างไฟล์ HTML เปล่าๆ โดยตั้งชื่อไฟล์ชื่อเดียวกับไฟล์ HTML ที่ Google สร้างให้ จากนั้นทำการอัพโหลด ขึ้นเว็บไซต์ของตัวเอง โดยให้อยู่ในระดับเดียวกันกับ ไฟล์ index.html เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/googlexxxxxxx.html
คลิกที่ ยืนยัน เพื่อทำการยืนยันเว็บไซต์ จากนั้นระบบจะอ่านเว็บไซต์ของเราและวินิจฉัยให้ด้วย เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าคุณมีการปรับปรุงเว็บไซต์มากๆ ควรที่จะมาสร้าง Sitemap ขึ้นมาใหม่
3. Google Alerts
การใช้ Google Alerts เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถเก็บ Track ที่เกิดขึ้นกับคุณในทุกกิจกรรมบนโลกออนไลน์ อีกทั้งยังทำให้คุณสามารถ Monitor บริการและสินค้าที่ได้รับความสนใจบนออนไลน์ รวมทั้งยังทำให้ทราบอันดับเว็บไซต์ของคุณว่าก้าวถึงระดับต้นๆ ในแต่ละคีย์เวิร์ดได้หรือไม่อีกด้วย
 
Google Alerts เป็นระบบการเตือนเมื่อมีใครหรือว่าเว็บไซต์อื่นได้อ้างอิงถึงเว็บไซต์หรือชื่อของคุณ หรือมีผลการค้นหาใหม่ตามคำค้นที่คุณระบุ ระบบจะส่งอีเมลมาให้อัตโนมัติ โดยปัจจุบันระบบ Google Alerts รองรับการค้นหาจาก ข่าว เว็บไซต์ บล็อก วิดีโอ และ Google Groups
 
เช่น ถ้าเป็นบริการสำหรับข่าว ระบบจะส่งอีเมลมาเตือนเมื่อมีข่าวใหม่ 10 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google News Search ถ้าเป็นบริการสำหรับเว็บไซต์ ระบบจะส่งอีเมลรายงานผลการค้นหา 20 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google Web Search ส่วนบริการสำหรับบล็อก ระบบจะส่งอีเมลรายงานผลการค้นหา 10 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google Blog Search เป็นต้น
 
การสมัครใช้บริการสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเข้าไปที่ http://www.google.com/alerts จากนั้นป้อนคำที่ต้องการค้นหา เลือกบริการที่ต้องการ (ข่าว เว็บไซต์ วิดีโอ ฯลฯ) ความถี่ที่คุณต้องการตรวจสอบผลลัพธ์และอีเมลของคุณหลังจากกรอกข้อมูลครบแล้วให้กดปุ่ม “Create Alert” ระบบจะส่งอีเมลยืนยันให้คุณเมื่อได้รับอีเมลแล้วให้คุณยืนยันเปิดการใช้งาน โดยคลิกลิงก์ที่ส่งมาในอีเมล
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถสร้างและยืนยันการทำ Alert พร้อมๆ กันหลายรายการ โดยเข้าไปที่หน้า “Manage Your Alerts” ซึ่งการใช้งานนั้นคุณจะต้องเข้าสู่ระบบโดยใช้ Google Account หากยังไม่มี Google Account สามารถสร้างได้ที่หน้าเว็บไซต์ Google Account
 
4. Google Froogle
หลังจากที่ Google ได้เปิดให้บริการ Froogle ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาสินค้าเพื่อการชอปปิงออนไลน์ แต่เนื่องจากชื่อดังกล่าวไม่สามารถสื่อได้ว่าเป็นแหล่งชอปปิงออนไลน์ตามที่ Google คาดหมายไว้ตั้งแต่แรก จึงได้เปลี่ยนชื่อ Froogle เป็น Google Product Search (http://www.google.com/products) แทน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจง่ายขึ้น
 
Froogle เป็น Index การสืบค้นสำหรับการชอปปิงแบบออนไลน์ที่ทำให้บรรดานักชอปฯ สามารถค้นหาสินค้าในราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น โดยเครือข่ายของ Froogle จะมีความสามารถในการค้นหาสินค้าต่างๆ ในร้านค้าออนไลน์เป็นพิเศษ โดยหน้าตาของ Froogle นั้นจะคล้ายกับ Google Directory แต่มุ่งเน้นไปที่การทำให้คุณเข้าถึงตัวสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
 
การค้นหาสามารถทำได้โดยใส่ชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการโดยตรง หรือหากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ชัดลงไปก็สามารถดูสินค้าไปเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นหาจะมีภาพสินค้าปรากฏให้ดูด้วย (หากร้านค้ามีการนำภาพมาลงไว้) และสามารถเรียงผลการค้นหาที่ได้ทั้งในแบบตามราคา จากราคาสูงไปต่ำ หรือต่ำไปสูง เรียงเว็บไซต์ตามจำนวนสินค้าที่เสนอ เรียงตาม Products Rating หรือจะให้เรียงตาม Seller Rating ก็ได้
 
 
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกชมสินค้าเฉพาะรายการที่อยู่ในช่วงราคา (Price Range) ที่สนใจได้ด้วย  และยังสามารถใช้การสืบค้นขั้นสูงมาช่วยให้การสืบค้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงกับความต้องการมากขึ้น โดยการสืบค้นจาก Froogle จะเป็นประโยชน์มาก ซึ่งถ้าหากคุณมีสินค้าที่ต้องการซื้ออยู่ในใจแล้ว และต้องการความรวดเร็วในการซื้อสินค้า เครื่องมือตัวนี้ของ Google จะสามารถช่วยคุณได้มาก
 
สำหรับเว็บมาสเตอร์และนักการตลาดที่ต้องการโปรโมตสินค้าของตัวเอง การศึกษาและวิเคราะห์ว่าจะทำให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ของตัวเองไปแสดงบน Froogle ได้นั้นต้องทำอย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงควรติดตาม ศึกษานโยบาย กลยุทธ์ และทิศทางในการทำให้สินค้าจากเว็บไซต์ของคุณได้ไปแสดงต่อหน้ากลุ่มเป้าหมายนับพันนับล้านคนด้วย
 
5. Google Checkout
Google Checkout คือระบบการจับจ่ายซื้อสินค้าที่สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว โดยจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับเป็น Payment Gateway หรือ Payment Processing เพื่อทำหน้าที่รับชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่มีขายบนเว็บไซต์ โดยระบบการรับชำระเงินของ Google Checkout นั้นคุณสามารถทำรายการสั่งซื้อและจ่ายค่าสินค้า ตลอดจนตรวจสอบรายการการสั่งซื้อหรือการชำระสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าเว็บไซต์
 
ผู้ที่มีเว็บไซต์อยู่แล้วสามารถที่จะนำ Google Checkout ไปติดตั้งไว้บนเว็บไซต์ได้ฟรี แต่ทุกครั้งที่มีคนชำระเงินผ่านทาง Google Checkout ทางเว็บไซต์จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Google เป็นจำนวน 2% $0.2 ต่อการชำระเงินหนึ่งครั้ง
ส่วนทางด้านผู้ใช้บริการ Google Checkout นั้นจะสามารถซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้แค่ใส่รหัสบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นเมื่อต้องการจะซื้อสินค้าก็แค่ใส่ Log In กับ Password ของ Google Checkout (ซึ่งก็เป็น Log In และ Password เดียวกับ Gmail หรือ Account อื่นๆ ของ Google) เท่านี้ก็สามารถทำการซื้อสินค้าได้แล้ว พร้อมทั้งยังสามารถเช็กประวัติการซื้อสินค้าของตัวเองได้ด้วยว่าซื้ออะไรไปเมื่อไรบ้าง หากเกิดปัญหาก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้
 
สำหรับนักการตลาดที่ใช้ AdWords ในการโฆษณาเว็บไซต์อยู่แล้วสามารถที่จะนำ Google Checkout นี้มาใช้สำหรับรับชำระเงินในเว็บไซต์ได้ โดยจะทำให้คุณเสียค่าธรรมเนียมน้อยลง หรือไม่เสียเลยก็ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าถ้าหากคุณเสียค่าโฆษณาให้กับทาง Google AdWords เป็นจำนวนเงิน $1 ทาง Google จะอนุญาตให้คุณใช้ Google Checkout เพื่อรับชำระค่าสินค้าได้ฟรี $10 โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการใช้ (2% $0.2) ซึ่งสิทธิพิเศษที่ทาง Google มอบให้นี้ทำให้เจ้าของร้านค้าสามารถประหยัดค่าธรรมเนียมการใช้ไปได้มากทีเดียว
 
นอกจากนี้คุณยังสามารถวางโลโกของตัว Shopping Cart ไว้ที่ตัวโฆษณา AdWords ที่คุณใช้ เพื่อใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Google มาสร้างข้อได้เปรียบให้กับเว็บไซต์คุณได้ด้วย ซึ่งนักการตลาดเองก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเปี่ยมไปด้วยคุณค่ามาใช้กันอีกแล้ว
 
ได้ทำความรู้จักกับเครื่องมือฟรีๆ เพื่อช่วยทำการตลาดจาก Google ทั้ง 5 ตัวไปแล้ว ฉบับต่อไปมาติดตามกันต่อว่าจะมีเครื่องมืออะไรที่ทั้งฟรีและดีจาก Google ที่น่าใช้กันอีกบ้าง
 
ที่มา : Ecommerce Magazine


วิธีโปรโมทเว็บไซต์คืออะไรจำเป็นหรือไม่

จำเป็นเพราะจะต้องทำให้คนเข้าไปและรู้จักเว็ปของเราและจะทำให้เราค้นหาใน google ได้ง่ายขึ้น

จุดประสงค์หลักของการโปรโมทเว็บ คือ การทำให้เว็บของเราเป็นที่รู้จัก มีคนเข้ามาอ่านบทความ ซื้อสินค้าหรือบริการ ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้เป็นอย่างที่ว่า เราก็จำเป็นที่จะต้องทำการโปรโมทเว็บ แต่จะวิธีการโปรโมทเว็บอย่างไรให้ได้ผล และเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด บทความนี้จะมาแนะนำจากประสบการณ์ทำงานจริง เกี่ยวกับการโปรโมทเว็บโดยเฉพาะ

โปรโมทเว็บ มีกี่วิธี
การโปรแกรมเว็บให้เป็นที่รู้จัก อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ออนไลน์ (Online) กับ ออฟไลน์ (Offline) ซึ่งออฟไลน์ นั่นจะเกี่ยวกับสื่อหรือ media เช่น ลงหนังสือพิมพ์ ลงโฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น แต่สำหรับออนไลน์ นั้น หลักๆ จะมีดังนี้

SEO (Search Engine Optimization) วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่เหมาะสำหรับการโปรโมทระยะยาว เพราะต้องใช้เวลาในการทำค่อนข้างนานกว่า แบบอื่นๆ
SEO เป็นการทำให้เว็บไซต์ของเรา ถูกค้นหาได้ง่ายขึ้นจาก Search Engine ดังๆ อย่าง Google
การทำ SEO จะเน้นเรื่องคำค้น หรือ Keyword เป็นสำคัญ
เป็นการโปรโมทเว็บแบบระยะยาว
SEM (Search Engine Marketing) เป็นวิธีการทำการตลาดหรือโปรแกรมแบบเสียเงิน เมื่อมีการคลิกป้ายโฆษณา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า PPC (Pay-Per-Click)
SEM เป็นการโปรโมทระยะสั้น ได้ผลเร็ว
สามารถตั้งค่าใช้จ่ายในการคลิกได้
สามารถเลือกกลุ่มลูกค้าได้ เช่น ลูกค้าในประเทศไทย เท่านั้น เป็นต้น
Banner Advertising โปรโมทเว็บด้วยวิธีการลงโฆษณาในเว็บไซต์ดังๆ ที่มีคนจำนวนต่อวันมากๆ
Social Network Adversiting โปรโมทเว็บผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการโฆษณาในรูปแบบอื่่นๆ ซึ่งอาจไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เป็นที่ต้องการ จึงไม่ได้นำมาอธิบายเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ถ้าให้เลือกโฆษณา ทำแบบไหนดี
เว็บไซต์ใหม่ แนะนำให้ทำ SEO / SEM พร้อมกัน (ถ้าต้องการให้เห็นเร็ว และได้ผลในระยะยาว) เพราะผลลัพธ์ของ SEO จะทำให้ค้นหาเว็บของเราได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้เราได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น สำหรับ SEM หรือ PPC เป็นการจ่ายเงินเมื่อมีการคลิก และได้ผลทันที ลูกค้าเข้ามาเว็บไซต์ของเรา เพราะถ้าไม่มีคนคลิก ก็ไม่ต้องจ่าย
สำหรับการลงโฆษณา ป้ายโฆษณาหรือ ฺBanner แนะนำให้ใช้สำหรับการโฆษณาแบบให้จดจำในตัวสินค้าหรือบริการ ซึ่งไม่ใช่เว็บไซต์ใหม่ๆ

e-procurement

E-PROCUREMENT คืออะไร
ระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (E-Procurement)

คือ ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการให้บริการที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เช่น การตกลงราคา การสอบราคา การประกวดราคา และการจัดซื้อรวมแบบออนไลน์ รวมถึงการลงทะเบียนบริษัทผู้ค้า การทำ E-Catalog และการทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อที่เป็น Web Based Application เพื่อทำให้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ใช้ระยะเวลาจัดหาพัสดุน้อยลง และได้พัสดุที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการจัดหาและสามารถติดตามตรวจสอบกระบวนการทำงานได้

ขั้นตอนของระบบ E-Procurement

1. ค้นหาสินค้า/บริการที่จะซื้อผ่าน E-Catalog
2. เลือกหมวดสินค้าที่ต้องการจะซื้อผ่าน E-Shopping List
3. จัดประกาศเชิญชวนผ่าน Web-Site
4. ผู้ขายเสนอคุณสมบัติของสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (E-RFP)
5. ผู้ซื้อตรวจสอบราคากลาง (E-RFQ) และ Track Record ของผู้ขาย
6. ประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction)
7. ประกาศผล ผู้ชนะและส่งมอบ/ตรวจรับพัสดุ
8. จ่ายเงินตรงด้วยระบบ E-Payment

องค์ประกอบของระบบ E-Procurement

1. ระบบ E-Catalog เป็นมาตรฐานระบบ Catalog ที่รวบรวมรายละเอียดของสินค้าและบริการ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ค้า/ผู้รับจ้าง (Suppliers) ที่มีคุณสมบัติในการทำธุรกรรมสามารถเข้ามาทำการแจ้งและปรับปรุงรายการสินค้า/บริการของตนเองได้
2. ระบบ e-RFP (Request for Proposal)/ e-RFQ (Request for Quotation) เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธีสอบราคาหรือวิธีตกลงราคา
3. ระบบ e-Auction แบ่งได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่
3.1 Reverse Auction เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในด้านการประมูลซื้อให้ได้ราคาต่ำสุด
3.2 Forward Auction เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกในด้านการประมูลขาย ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับการจำหน่ายพัสดุที่หมดความจำเป็นของหน่วยงานภาครัฐโดยวิธีขายทอดตลาด ซึ่งเป็นการประมูลขายแบบผู้ชนะ คือ ผู้ที่เสนอราคาสูงสุด
ตัวอย่าง e-procurement
http://www.b2bthai.com/Home/Index

ระบบ web portal

Portal คืออะไร

เป็น web site ที่ผู้ใช้สามารถที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ portal จะคำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง กล่าวคือข้อมูลข่าวสารที่แสดงจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้หรือเป็นข้อมูลที่ผู้ใช้สนใจเท่านั้น นอกจากนั้น portal ยังได้จัดเตรียมเครื่องมือและบริการต่างๆสำหรับผู้ใช้เพื่อทำให้ Portal เป็นลักษณะเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคนจริงๆ

Portal ต่างจาก web site ทั่วไปอย่างไร

web site ทั่วไป ผู้ใช้จะต้องใช้วิธีการต่างๆในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเช่น search engine เป็นต้น และบ่อยครั้งที่เราหาข้อมูลไม่เจอ แต่ใน portal ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้จะถูกรวบรวมใว้ในที่เดียวกัน โดยที่ข้อมูลนั้นอาจเป็นข้อมูลทั่วไปหรือเป็นข้อมูลที่เป็นส่วนตัวก็ได้หรือกล่าวได้ว่า portal จะคำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง นอกจากนั้น portal ยังได้จัดเตรียมบริการและ web tools ต่างๆใว้สำหรับผู้ใช้

Knowledge Portal คืออะไร

เป็น Portal ที่เป็นศูนย์กลางความรู้ เชื่อมต่อข้อมูลต่างๆในมหาวิทยาลัย ทั้งข้อมูลที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน และข้อมูลความรู้ทั่วไป โดยมุ่งเน้นที่จะให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้

Knowledge Portal จะมาแทน web site ของมหาวิทยาลัยหรือไม่

ไม่ใช่, เป้าหมายของ portal คือเป็นที่รวบรวมข้อมูลสำหรับเฉพาะกลุ่มบุลคล(นักศึกษา, อาจารย์, เจ้าหน้าที่ เป็นต้น) แต่เป้าหมายของ web site ทั่วไปคือนำเสนอข้อมูลสำหรับทุกกลุ่มผู้ใช้ เพราะฉะนั้นจึงแตกต่างกันแต่สนับสนุนซึ่งกันและกัน portal จึงเป็นอีกทางเลือกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของ Portal คืออะไร

Personalization:
จุดประสงค์ที่สำคัญของ Portal คือจัดเตรียมข้อมูลข่าวสารที่เป็นเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคน เช่น
นักศึกษาที่สนใจศึกษาต่อที่ Kmutt อาจจะสนใจหลักสูตรการเรียนการสอน ทุนการศึกษา หอพัก เป็นต้น
นักศึกษา Kmutt สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ ตารางการเรียนการสอน ปฏิทินการศึกษา การฝึกงาน เป็นต้น
นิสิตเก่า จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆของชมรมสิตเก่า

Customization

ใน Portal ผู้ใช้สามารถที่จะจัดรูปแบบการแสดงข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง เช่น
การเพิ่มหรือลด channel ที่แสดงข้อมูล
การจัดลำดับก่อนหลังในการแสดงข้อมูลหรือ channel
การเปลี่ยนรูปแบบ,สี หรือรูปภาพที่จะแสดง channel
Standardization
รูปแบบแสดงผลของ potal ต่อผู้ใช้เป็นในทิศทางเดียวกันถึงแม้ว่าข้อมูลข่าวสารที่อยู่ข้างใน Portal จะมาจากหลายที่และมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
Single Login
ผู้ใช้ Login Portal เพียงครั้งเดียวก็จะสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆที่มีอยู่ใน Portal ได้

อย่างเช่น
My UCLA: http://my.ucla.edu/ 
University of Minnesota's "One Stop": http://onestop.umn.edu/ 
University of Buffalo (MyUB): http://www.buffalo.edu/aboutmyub/ 
University of Texas at Austin "UT Direct": http://utdirect.utexas.edu/utdirect/
My Netscape: http://my.netscape.com/ 
My Yahoo: http://my.yahoo.com/ 
Excite: http://www.excite.com/ 
My AOL: http://my.aol.com/ 
My Way: http://www.myway.com/ 



ระบบ store front

E-storefront ให้บริการรับฝากเว็บไซต์ของผู้ให้บริการรับฝาก
เว็บไซต์ โดยให้บริการดูแลระบบเว็บไซต์ โดยให้บริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต (Internet) เพือให้
ติดต่อเข้ากับระบบเว็บไซต์ได้ เป็นสถานทีรวบรวมสินค้าต่าง ๆ ของทางศิริขวัญฟาร์ม เพือ
โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ให้กับผู้บริโภคได้รับทราบ
รายชื่อ Shopping cart หรือระบบร้านค้า (StoreFront)

  A Cart
 1ShoppingCart.com
 3dCart
 4Checkout
 4D Business Kit
 AACart
 Abarcar
 AceFlex Cart
 AceFlex Mall
 Active Data Online eShop
 Addsoft StoreBot
 Advanced Marketing System
 AIT Mcart
 Alding Webshop Maker
 Amazia Marketplace
 Americart
 ANYR&D PayPal Cart Components for Flash
 Arquan
 ASecureCart
 ASPVendor
 Astrosell
 BurnWave Emporium
 Cart32
 CF Ezcart
 Cartweaver
 CatalogIntegrator Cart
 CF ShopKart
 Charon Cart
 CityMax Easy Shopping Cart
 ClickCartPro
 ClicShop
 Client Connection Pro
 Clover Shop
 cmsMerchant
 Code9 Software Fast eCart
 Comersus Cart
 Commerce.cgi
 Commission Cart
 CoolCart
 Cube Stores
 CyberStrong eShop
 Cybertron NetCashier
 Dansie Shopping Cart
 DataPipe SureShopping
 Demontools
 Desert Star E-Store
 digiSHOP 3.0
 DMXReady PayPal Store Manager
 DomainMidway.com
 drCatalog
 DreamCommerce
 DXcart
 DXshop
 Early Impact ProductCart
 EasyCATALOG
 EasyStoreCreator
 eCartsoft
 E-commerce Solutions
 Ecommerce Templates
 EffortlessWeb Merchant
 Egoods Text-Based Catalog
 eBay Stores
 ekmPowerShop
 eMartCart
 Emporium Plus Payment Module for Miva Merchant
 Emporium Plus Subscription Module for Miva Merchant
 ePages
 ezstores.net
 EZ-NetTools